ไฮไลท์ฟุตบอลโลก
ตารางคะแนนฟุตบอลโลก 2022
ตารางคะแนนรายกลุ่ม
ตารางแข่งรายกลุ่ม
ดาวซัลโวฟุตบอลโลก 2022
สถิตินักเตะฟุตบอลโลก 2022
ตารางแข่งฟุตบอลโลก 2022
ฟุตบอลโลก 32 ทีมสุดท้ายที่ได้เข้าแข่งขัน
แน่นอนว่าเจ้าภาพอย่าง กาตาร์ จะได้สิทธ์เข้าร่วมการแข่งขันโดยอัตโนมัติในรอบ 32 ทีมสุดท้าย โดยทวีปที่ได้โควตาสูงสุดยังเป็นมหาอำนาจยุโรปที่ปีตบเท้าเข้าร่วมมากถึง 13 ชาติ น่าเสียดายที่อิตาลีพวกเขาผ่านมาไม่ถึงรอบนี้ รองลงมาเป็นเอเชียที่ 5 ชาติรวมเจ้าภาพเป็น 6 ชาติ ส่วนโซนอเมริกาใต้ยังคงนำทัพมาโดย บราซิล และ อาร์เจนติน่า ตามเคย
เจ้าภาพ : กาตาร์
ยุโรป : เยอรมนี (แชมป์ 4 สมัย),เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส (แชมป์ 2 สมัย),เบลเยียม,โครเอเชีย, สเปน (แชมป์ 1 สมัย),เซอร์เบีย,อังกฤษ (แชมป์ 1 สมัย),สวิตเซอร์แลนด์,เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์, โปรตุเกส,เวลส์
เอเชีย : อิหร่าน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น,ซาอุดีอาระเบีย,ออสเตรเลีย
อเมริกาใต้ : บราซิล (แชมป์ 5 สมัย),อาร์เจนตินา (แชมป์ 2 สมัย),อุรุกวัย (แชมป์ 2 สมัย), เอกวาดอร์
แอฟริกา : กานา, เซเนกัล, แคเมอรูน, โมร็อกโก, ตูนิเซีย
โซนคอนคาเคฟ : แคนาดา,สหรัฐอเมริกา,เม็กซิโก,คอสตาริกา
8 สนามที่ใช้ในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022
สนาม ลูเซล สเตเดียม จะใช้แข่งขันในเกมเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศเท่านั้น สนามแห่งนี้ถือเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในทัวร์นาเมนท์นี้ โดยสามารถรองรับความจุแฟนบอลได้มากถึง 80,000 ที่นั่ง นอกจากนั้นแล้วสนามแห่งนี้หลังสิ้นสุดการแข่งขันจะถูกรื้อถอนเก้าอี้เพื่อนำไปบริจาคให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
สนามแห่งนี้รองรับความจุแฟนบอลได้มากถึง 60,000 ที่นั่ง และมาพร้อมกับความโดดเด่นด้วยการออกแบบดีไซน์รูปแบบสนามโดยได้รับแรงบันดาลใจมากจาก เต็นท์ อาหรับ แบบดั่งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่หาดูได้ในแถบตะวันออกกลางเท่านั้น
สนามแห่งนี้ออกแบบมาไม่ซ้ำใครและเป็นการเปิดมิติใหม่ของสนามฟุตบอล โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์จำนวนกว่า 974 ตู้ เป็นโครงสร้างหลัก พร้อมด้วยวัสดุต่าง ๆ ที่สามารถรื้อถอนได้ง่ายหลังจากจบทัวร์นาเมนท์ เนื่องจากสนามแห่งนี้จะใช้เพียงแค่ในฟุตบอลโลก 2022 ครั้งเดียวเท่านั้นและจะถูกรื้อถอนทันที โดยโครงสร้างภายในจะถูกนำไปบริจาคให้กับประเทศกำลังพัฒนาใช้ประโยชน์ต่อไป นอกจากจะแปลกใหม่แล้วสนามแห่งนี้ยังออกแบบมาโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย รองรับความจุได้มากถึง 40,000 ที่นั่ง
เป็นเพียงสนามเดียวที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวกาตาร์โดยตรง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก gahfiya หรือหมวกสไตล์อาหรับสำหรับผู้ชาย อันเป็นเอกลักษณ์และสามารถเห็นกันได้ทั่วไปในดินแดนอาหรับและสำหรับชื่อของสนามแห่งนี้ได้มาจากชื่อของพันธุ์ไม้ท้องถิ่นนั่นเอง
สนามฟุตบอลแห่งนี้ตั้งอยู่กลางทะเลทราย และด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นออกมาแบบให้มีการหักเหของแสงทำให้สนามแห่งนี้จะเล่นแสงระยิบระยับตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน จนถูกขนานนามว่า “ไขมุกทะเลทราย หรือบางแหล่งเรียกว่า เพรชแห่งทะเลทราย”
สนามแห่งนี้เคยใช้เป็นสังเวียนฟาดแข้งในเกมนัดชิงชนะเลิศ FIFA Club World Cup 2021 มาแล้ว คู่ระหว่าง บาเยิร์น และ ติเกรส
สนาม อาห์มัด บิน อาลี เป็นสนามที่ได้รับการปรับปรุงจากสนามเก่า การออกแบบลวดลายภายนอกของสนามแสดงถึงเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของประเทศกาตาร์อย่างชัดเจน สนามแห่งนี้รองรับความจุได้ 40,000 ที่นั่ง
สำหรับสนามแห่งนี้เป็นสนามกีฬาที่รีโนเวทมาเพื่องาน ฟุตบอลโลก 2022 โดยเฉพาะ โดยสนามแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งมักจะใช้ในการจัดรายการขนาดใหญ่ภายในประเทศมากมายรวมถึงระดับนานาชาติไม่ว่าจะเป็น เอเชียน เกมส์, กัล์ฟ คัพ, เอเอฟซี เอเชียนคัพ รวมทั้งการแข่งขันกรีฑา ไอเอเอเอฟ เวิลด์ แอธเลติก แชมเปียนชิพ 2019 อีกด้วย
อัล จานอบ หรือชื่อเดิม สนามอัลวาก์ราห์ การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมากจากเรือใบของประเทศกาตาร์ นอกจากจะเป็นสนามที่รูปแบบดีไซน์มีความทันสมัยและสวยงามไม่แพ้ใครแล้วสนามแห่งนี้ยังมีระบบทำความเย็นภายในสนามและหลังคาที่สามารถ ปิด-เปิดได้
ส่อง 5 ทีมเต็ง & ทีมม้ามืด ที่น่าจับตามอง
ทีมเต็ง
เรื่องของทีมเต็งแชมป์ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ โดยหนนี้ยังคงนำขบวนมาโดยหน้าเก่าหลายสื่อและบ่อนรับแทงพนันถูกกฏหมายยังคงมองไปในทิศทางเดียวกัน
อันดับที่ 5 อาร์เจนติน่า
ฟุตบอลโลกที่น่าจะเป็นหนสุดท้ายของ ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีม ปีนี้พวกเขามุ่งมั่นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมหลังเพิ่งก้าวไปคว้าแชมป์ อเมริกาใต้ มาได้สำเร็จและถือเป็นแชมป์แรกในสีเสื้อทีมชาติของ ลิโอเนล เมสซี่ อีกด้วย งานนี้ทัพ ฟ้า-ขาว ปลดล็อคแบบรูปแบบและพร้อมสู้ศึกฟุตบอลโลกหนนี้ ยังคงยกให้เป็นเต็ง 5 ที่แม้ว่าผู้เล่นตัวหลักน่าพร้อมรบแต่ตัวเปลี่ยนเกมที่ม้านั่งสำรองยังคงน่าเป็นห่วง
อันดับที่ 4 สเปน
ขุนพลกระทิงดุ ปีนี้ผลงานของพวกเขาไม่ได้แย่เพียงแต่ว่าความโดดเด่นและความดุดันเริ่มจะหายไป แต่ในเรื่องของความสม่ำเสมอถือว่าพวกเขารักษาเอาไว้ได้ดี ขุมกำลังส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นสายเลือดใหม่ที่ผลงานกับสโมสรกำลังไปได้สวย และด้วยความสดใหม่ของผู้เล่นขอยกให้ทีมชาติสเปนของกุนซือ หลุย์ เอ็นริเก้ เป็นเต็ง 4 อีกทั้งตัวเลือกในแต่ละตำแหน่งก็ไม่มีเลือกใช้งานแบบเหลือเฟือ
อันดับที่ 3 ฝรั่งเศส
แชมป์เก่าเข้าป้ายมาเป็นเต็งอันดับ 3 ด้วยผลงานที่ต่อยอดความสำเร็จมาเรื่อย ๆ ส่งผลให้พวกเขาผลิตดาวเตะเป็นผู้เล่นชั้นนำในเวทีระดับโลกมากมายในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งตัวเก๋าอย่าง คาริม เบนเซม่า ก็มีฟอร์มที่ถือว่าเป็นจุดพีคในอาชีพก็ว่าได้ แบก เรอัล มาดริด ไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จและยังถูกยกเป็นเต็งหนึ่งสำหรับรางวัล บัลลงดอร์ ปีนี้อีกด้วย อีกทั้ง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ก็พร้อมรบเต็มระบบ ผู้เล่นสายเลือดใหม่ก็พร้อมฉายแสงอีกหลายคน แม้จะเป็นเรื่องยากสำหรับการป้องกันแชมป์แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาเชื่อว่าทำได้ไม่ยาก
อันดับที่ 2 อังกฤษ
ถือเป็นอีกหนึ่งทีมชาติที่อยู่ในช่วงพีคอีกครั้ง เนื่องจากทัพสิงโตคำรามพวกเขาผลิตผู้เล่นชั้นนำมากมาย และมีตัวเลือกที่ล้นมือมากจริง ๆ ผลงานล่าสุดของพวกเขาคือการไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูโร 2021 แต่พลาดท่าแพ้จุดโทษอย่างน่าเสียดาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและนักเตะหลาย ๆ คนอยู่ในช่วงวัยที่ไฟแรงเวอร์ ๆ ขนาดนี้ มองว่าทัพทรีไลอ้อน จะติดเครื่องท้าชนอีกครั้งและก้าวไปถึงแชมป์ได้ไม่ยาก
อันดับที่ 1 บราซิล
ทีมชาติบราซิลถูกยกให้เป็นเต็งแบบไม่ทิ้งห่างมากนัก แต่ด้วยชื่อชั้นของพวเขาก็ต้องบอกว่าทัพแซมบ้าดีพอเป็นแชมป์ได้ไม้ยากเหมือนกัน ด้วยระบบทีมที่แข็งแกร่งและด้วยขุมกำลังที่มาพร้อมไม่ว่าจะเป็นแนวรุกที่หลากหลาย นำมาโดย เนย์มาร์, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่, ริชาร์ลิซอน, กาเบรียล เชซุส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, ราฟินญ่า, แอนโธนี่, วินิซิอุส และอีกหลายคน ส่วนแนวรับนำมาโดย มาร์กวินญอส ของ เปแอสเช กองกลางแน่น ๆ และสลับกันลงได้สบาย ๆ อย่าง คาซิเมโร่ และ ฟาบินโญ่ เพลย์เมกเกอร์อย่าง ปาเกต้า และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ปิดท้ายด้วยนายทวารระดับโลกทั้งมือ 1 และ มือ 2 อย่าง อลิสซอน เบ็คเกอร์ และ เอแดร์ซอน มองมุมไหนพวกเขาก็แกร่งและจุดอ่อนน้อยที่สุดในบรรดาทีมเต็ง
ทีมม้ามืด
อันดับที่ 5 เดนมาร์ก
ทัพโคนมมีระบบทีมที่แข็งแกร่งและผลงานในยูโรหนล่าสุดพวกเขาไปได้ไกลถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย นอกจากกำลังใจจะกลับมาดีแล้วเชื่อว่าทีมนี้จะได้รับแรงเชียร์จากแฟนบอลส่งให้พวกเขาไปได้ถึงรอบลึกได้อย่างแน่นอน
อันดับที่ 4 เซเนกัล
เจ้าของแชมป์แอฟริกัน เนชั่นส์ หนล่าสุดนำทัพมาโดยดาวยิงตัวเก่งอย่าง ซาดิโอ มาเน่ ผลงานของพวกเขาถือว่ายอดเยี่ยมในระดับทวีป มองว่าทีมนี้จะเป็นอีกทีมที่ประมาทไม่ได้และมีดีพอเข้ารอบได้อย่างแน่นอน
อันดับที่ 3 กาตาร์
แม้ว่าจะผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในฐานะเจ้าภาพ แต่เชื่อว่า กาตาร์ คงไม่ยอมน้อยหน้าใครอย่างแน่นอน รอบนี้ดาวยิงตัวเก่งอย่าง ฮัสซัน อัล ไฮดอส ยังคงสวมปลอกแขนกัปตันทีมนำทัพลงสนามเช่นเคย
อันดับที่ 2 เวลส์
ทัพมังกรแดงผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายได้อย่างสวยงามหลังจากเอาชนะ ยูเครน 1-0 ในรอบเพลย์ออฟ คว้าตั๋วผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกได้สำเร็จในรอบ 64 ปี เป็นอีกทีมที่น่าจับตามองด้วยแรงส่งจากชัยชนะเหนือ ยูเครน เชื่อว่าพวกเขาน่าจะเป็นทีมที่กินได้ยากอย่างแน่นอน
อันดับที่ 1 แคนาดา
สำหรับ แคนาดา เป็นอีกทีมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน พวกเขาการันตีการผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยการเป็นทีมแรกจากโซน คอนคาเคฟ แคนาดา ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ จอห์น เฮิร์ดแมน มีผลงานอย่างยอดเยี่ยม โดยมีสถิติลงแข่ง 13 เกมชนะ 8, เสมอ 4 และแพ้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วการได้เข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายของ แคนาดา ถือเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังของประเทศ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้สัมผัสฟุตบอลโลกครั้งแรกมาแล้วในปี 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก หรือ 36 ปีที่แล้ว
เพลงฟุตบอลโลก 2022
Hayya Hayya (Better Together) – เฮย์ย่า เฮย์ย่า สำหรับเพลงนี้ขับร้องโดย ไอชา ศิลปินชื่อดังของประเทศ กาตาร์ ร่วมกับสองศิลปินจากอเมริกา อย่าง ตรินิแดด คาร์โดน่า, ดาวิโด้ และ อิช่า โดยเพลงนี้เป็นการผสมผสาน เสียงร้องจากทวีปอเมริกา, แอฟริกา และตะวันออกกลางมารวมกันอย่างลงตัว จึงทำให้เพลงนี้เป็นสัญลักษณ์ถึงการที่ดนตรีและโลกของฟุตบอลที่สามารถผสมผสานและผนึกรวมโลกเป็นหนึ่งเดียวกันได้
ลูกฟุตบอลและความหมายประจำทัวร์นาเมนท์นี้
ลูกฟุตบอลประจำทัวร์นาเมนท์นี้มีชื่อว่า Al Rihla – อัล ริห์ลา ภายใต้การดูแลและผลิตโดย Adidas – อาดิดาส และถือเป็นนวัตกรรมล่าสุดจาก อาดิดาส อีกด้วย ถูกออกแบบและผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยี CTR-Core และ Speedshell เปี่ยมล้นไปด้วยคุณสมบัติทั้งเรื่องของความเร็วในการเคลื่อนที่บนอากาศและความแม่นยำสูงสุดช่วยให้การยิงแบบโค้งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าคงสร้างความลำบากใจให้กับบรรดาผู้รักษาประตูอย่างแน่นอน
และสำหรับคำว่า Al Rihla – อัล ริห์ลา มาจากภาษาอาหรับ ซึ่งความหมายในภาษาอังกฤษคือ The Journey หรือแปลเป็นไทยคือ “การเดินทาง”
ตัวเต็งดาวซัลโว
สำหรับตัวเต็งดาวซัลโวยังฟันธงไม่ได้จนกว่าทุกทีมชาติจะทำการประกาศรายชื่อชุดลุยศึกฟุตบอลโลก แต่ความคิดเห็นข้างต้นเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น เพราะตัวเต็งที่ว่ามาอาจจะไม่มีชื่อไปร่วมฟาดแข้งก็เป็นได้จากหลาย ๆ เหตุผลในอนาคตที่ไม่อาจะรู้ได้
รางวัลรองเท้าทองคำถือเป็นรางวัลที่น้อยคนจะก้าวไปถึงและหลายคนแจ้งเกิด สร้างชื่อ มาด้วยรางวัลนี้
เนย์มาร์ – บราซิล
กองหน้าว่าที่สถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลบราซิล เข้าใกล้สถิติของดาวยิงรุ่นปู่อย่าง เปเล่ เข้าไปทุกที โดยฟุตบอลโลกหนนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญและเปิดทางให้ เนย์มาร์ ถลุงยิงประตูแซง เปเล่ ได้ไม่อยากเย็น เนื่องจากล่าสุดตามหลัง เปเล่ อีกเพียงแค่ 3 ประตูเท่านั้น
คิลิยัน เอ็มบัปเป้ – ฝรั่งเศส
ดาวเตะอนาคตไกลอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ถูกยกเข้ามาเป็นเต็งอันดับ 4 ด้วยผลงานที่มีความสม่ำเสมอและมุ่งมั่นเวลาอยู่ในสนามเชื่อว่า เอ็มบัปเป้ จะสร้างปรากฎการณ์ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ – โปรตุเกส
อันดับ 3 เป็นของกองหน้าจากทีมชาติโปรตุเกส ที่น่าจะเป็นฟุตบอลโลกหนสุดท้ายของเจ้าในวัย 37 ปี และแม้ว่าอายุจะอยู่ในช่วงบั้นปลายอาชีพค้าแข้ง แต่ผลงานของ ซีอาร์เซเว่น ยังคงเป็นตัวท็อประดับโลก โดยผลงานฤดูกาลล่าสุดเป็นดาวซัลโวของ แมนฯ ยูไนเต็ด และแน่นอนว่านี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเขาในเวที เวิลด์ คัพ มองว่างานนี้ โรนัลโด้ ใส่เต็มทุกเกม
ลิโอเนล เมสซี่ – อาร์เจนติน่า
กองหน้าความหวังจากทัพฟ้า-ขาว เข้ามาเป็นตัวเต็งอันดับ 2 แม้ว่าผลงานในระดับสโมสรกับ เปแอสเช จะไม่ได้สวยหรูมากนักแต่ภาพรวมยังถือว่ายอดเยี่ยมและพึ่งพาได้อยู่ มองว่าฟุตบอลโลกที่น่าจะหนสุดท้ายของเจ้าตัว คงใส่เต็มใส่สุดอย่างแน่นอน
คาริม เบนเซม่า – ฝรั่งเศส
มาถึงตัวเต็งจากสถานการณ์ล่าสุด เป็น คาริม เบนเซม่า จากค่าย เรอัล มาดริด เชื่อว่าหลายท่านคงไม่ค้านสายตาเพราะเมื่อมองดูจากผลงานในซีซั่นล่าสุดเชื่อว่า เบนเซม่า จะต่อยอดความสุดยอดในศึกฟุตบอลโลกได้อย่างแน่นอน
นักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง
กองหน้าในวัย 22 ปี ทำผลงานได้อย่างยอดเยียมบนเวที ลีก เอิง ฝรั่งเศส จนถูกหลายทีมทั่วยุโรปแสดงความสนใจดึงตัวไปร่วมทีม อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญพาทีมชาติแคนาดาเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้สำเร็จในรอบ 36 ปี
ด้วยวัยที่ยังไม่ถึง 20 ปี เต็ม แต่เจ้าหนู เบลลิ่งแฮม ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักให้ทีมชาติอังกฤษได้อย่างไม่ยากเย็นและยังสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในทุกครั้งที่ได้โอกาสลงสนาม เชื่อว่าฟุตบอลโลกหนี้จะเป็นทัวร์นาเมนท์ที่เจ้าตัวแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว
อีกหนึ่งวันเดอร์คิดจากค่าย บาร์เซโลน่า ที่ผลงานของดาวเตะวัย 18 ปี โดดเด่นและถูกจับตามองจากหลายทีมทั่วยุโรปโดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ที่แสดงความสนใจมาโดยตลอด นอกจากนี้ในนามทีมชาติเจ้าตัวก็ได้รับโอกาสติดธงกระทิงดุชุดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจจนถูกยกย่องให้เป็นความหวังใหม่เลยทีเดียว
ดาวเตะในวัย 19 ปี ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้กับทัพเสือใต้เรียบร้อยแล้ว และด้วยความสามารถที่แพรวพราวและเล่นได้หลายตำแหน่งในแนวรุก ทำให้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นตัวแทน โธมัส มุลเลอร์ ในอนาคต อีกทั้งในนามทีมชาติก็ติดทีมชาติชุดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว
ดาวซัลโวสูงสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก
- มิโรสลาฟ โคลเซ่ (เยอรมนี) – 16 ประตู
- โรนัลโด้ R9 (บราซิล) – 15 ประตู
- เกิร์ด มุลเลอร์ (เยอรมนีตะวันตก) – 14 ประตู
- จัสท์ ฟงแตน (ฝรั่งเศส) – 13 ประตู
- เปเล่ (บราซิล) – 12 ประตู
- ซานเดอร์ ค็อกซิส (ฮังการี) – 11 ประตู
- เจอร์เก้น คลินส์มันน์ (เยอรมนี) – 11 ประตู
- เฮลมุท ราห์น (เยอรมนีตะวันตก) – 10 ประตู
- แกรี่ ลินิเกอร์ (อังกฤษ) – 10 ประตู
- กาเบรียล บาติสตูต้า (อาร์เจนตินา) – 10 ประตู
ประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฟุตบอลโลก
– สเปน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส (1 สมัย)
– อาร์เจนติน่า, อุรุกวัย, ฝรั่งเศส (2 สมัย)
– อิตาลี, เยอรมนี (4 สมัย)
– บราซิล (5 สมัย)
ทำเนียบแชมป์
– ครั้งที่ 1 ปี ค.ศ. 1930 ประเทศอุรุกวัย
– ครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.1934 ประเทศอิตาลี
– ครั้งที่ 3 ปี ค.ศ.1938 ประเทศอิตาลี
– ครั้งที่ 4 ปี ค.ศ.1950 ประเทศอุรุกวัย
– ครั้งที่ 5 ปี ค.ศ.1954 ประเทศเยอรมนีตะวันตก
– ครั้งที่ 6 ปี ค.ศ.1958 ประเทศบราซิล-
– ครั้งที่ 7 ปี ค.ศ.1962 ประเทศบราซิล
– ครั้งที่ 8 ปี ค.ศ.1966 ประเทศอังกฤษ
– ครั้งที่ 9 ปี ค.ศ.1970 ประเทศบราซิล
– ครั้งที่ 10 ปี ค.ศ.1974 ประเทศเยอรมนีตะวันตก
– ครั้งที่ 11 ปี ค.ศ.1978 ประเทศอาร์เจนตินา
– ครั้งที่ 12 ปี ค.ศ.1982 ประเทศอิตาลี
– ครั้งที่ 13 ปี ค.ศ.1986 ประเทศอาร์เจนตินา
– ครั้งที่ 14 ปี ค.ศ.1990 ประเทศเยอรมนีตะวันตก
– ครั้งที่ 15 ปี ค.ศ.1994 ประเทศบราซิล
– ครั้งที่ 16 ปี ค.ศ.1998 ประเทศฝรั่งเศส
– ครั้งที่ 17 ปี ค.ศ.2002 ประเทศบราซิล
– ครั้งที่ 18 ปี ค.ศ.2006 ประเทศอิตาลี
– ครั้งที่ 19 ปี ค.ศ.2010 ประเทศสเปน
– ครั้งที่ 20 ปี ค.ศ.2014 ประเทศเยอรมนี
– ครั้งที่ 21 ปี ค.ศ.2018 ประเทศฝรั่งเศส
เจ้าภาพครั้งถัดไป
สำหรับเจ้าภาพครั้งถัดไปได้มีการยืนยันเรียบร้อยแล้ว โดยจะมี 3 ชาติประกอบไปกเวย สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และ แคนาดา เป็นเจ้าภาพร่วม โดยมีทั้งหมด 16 สนามรองรับการแข่งขัน สหรัฐอเมริกา จะใช้ 11 สนามเป็นสังเวียน เม็กซิโก 3 สนาม และ แคนาดา 2 สนาม
นอกจากนี้แล้วฟุตบอลครั้งนี้จะมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันในรอบสุดท้ายเพิ่มเป็น 48 ทีมจากเดิม 32 ทีม และรูปแบบการการแข่งจะต่างไปจากเดิมในรอบแบ่งกลุ่ม