ฟุตบอลโลก 2022 กับเรื่องที่ต้องรู้ก่อนดู

ไฮไลท์ฟุตบอลโลก

ตารางคะแนนฟุตบอลโลก 2022

ตารางคะแนนรายกลุ่ม

ตารางแข่งรายกลุ่ม

ดาวซัลโวฟุตบอลโลก 2022

สถิตินักเตะฟุตบอลโลก 2022

ตารางแข่งฟุตบอลโลก 2022

ฟุตบอลโลก 32 ทีมสุดท้ายที่ได้เข้าแข่งขัน

แน่นอนว่าเจ้าภาพอย่าง กาตาร์ จะได้สิทธ์เข้าร่วมการแข่งขันโดยอัตโนมัติในรอบ 32 ทีมสุดท้าย โดยทวีปที่ได้โควตาสูงสุดยังเป็นมหาอำนาจยุโรปที่ปีตบเท้าเข้าร่วมมากถึง 13 ชาติ น่าเสียดายที่อิตาลีพวกเขาผ่านมาไม่ถึงรอบนี้ รองลงมาเป็นเอเชียที่ 5 ชาติรวมเจ้าภาพเป็น 6 ชาติ ส่วนโซนอเมริกาใต้ยังคงนำทัพมาโดย บราซิล และ อาร์เจนติน่า ตามเคย

เจ้าภาพ : กาตาร์

ยุโรป : เยอรมนี (แชมป์  4 สมัย),เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส (แชมป์ 2 สมัย),เบลเยียม,โครเอเชีย, สเปน (แชมป์ 1 สมัย),เซอร์เบีย,อังกฤษ (แชมป์ 1 สมัย),สวิตเซอร์แลนด์,เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์, โปรตุเกส,เวลส์

เอเชีย : อิหร่าน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น,ซาอุดีอาระเบีย,ออสเตรเลีย

อเมริกาใต้ : บราซิล (แชมป์ 5 สมัย),อาร์เจนตินา (แชมป์ 2 สมัย),อุรุกวัย (แชมป์ 2 สมัย), เอกวาดอร์

แอฟริกา : กานา, เซเนกัล, แคเมอรูน, โมร็อกโก, ตูนิเซีย

โซนคอนคาเคฟ : แคนาดา,สหรัฐอเมริกา,เม็กซิโก,คอสตาริกา

8 สนามที่ใช้ในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022

1.ลูเซล สเตเดียม (Lusail Iconic Stadium)

สนาม ลูเซล สเตเดียม จะใช้แข่งขันในเกมเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศเท่านั้น สนามแห่งนี้ถือเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในทัวร์นาเมนท์นี้ โดยสามารถรองรับความจุแฟนบอลได้มากถึง 80,000 ที่นั่ง นอกจากนั้นแล้วสนามแห่งนี้หลังสิ้นสุดการแข่งขันจะถูกรื้อถอนเก้าอี้เพื่อนำไปบริจาคให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

Lusail Iconic Stadium
2.อัล เบย์ท สเตเดียม (Al Bayt Stadium)

สนามแห่งนี้รองรับความจุแฟนบอลได้มากถึง 60,000 ที่นั่ง และมาพร้อมกับความโดดเด่นด้วยการออกแบบดีไซน์รูปแบบสนามโดยได้รับแรงบันดาลใจมากจาก เต็นท์ อาหรับ แบบดั่งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่หาดูได้ในแถบตะวันออกกลางเท่านั้น

อัล เบย์ท สเตเดียม (Al Bayt Stadium)
3.ราส อาบู อาบูด สเตเดียม (Ras Abu Aboud Stadium) หรือ สเตเดียม 974

สนามแห่งนี้ออกแบบมาไม่ซ้ำใครและเป็นการเปิดมิติใหม่ของสนามฟุตบอล โดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์จำนวนกว่า 974 ตู้ เป็นโครงสร้างหลัก พร้อมด้วยวัสดุต่าง ๆ ที่สามารถรื้อถอนได้ง่ายหลังจากจบทัวร์นาเมนท์ เนื่องจากสนามแห่งนี้จะใช้เพียงแค่ในฟุตบอลโลก 2022 ครั้งเดียวเท่านั้นและจะถูกรื้อถอนทันที  โดยโครงสร้างภายในจะถูกนำไปบริจาคให้กับประเทศกำลังพัฒนาใช้ประโยชน์ต่อไป นอกจากจะแปลกใหม่แล้วสนามแห่งนี้ยังออกแบบมาโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอีกด้วย รองรับความจุได้มากถึง 40,000 ที่นั่ง

ราส อาบู อาบูด สเตเดียม (Ras Abu Aboud Stadium) หรือ สเตเดียม 974
4.อัล ธูมามา สเตเดียม (Al Thumama Stadium)

เป็นเพียงสนามเดียวที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวกาตาร์โดยตรง โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก gahfiya หรือหมวกสไตล์อาหรับสำหรับผู้ชาย อันเป็นเอกลักษณ์และสามารถเห็นกันได้ทั่วไปในดินแดนอาหรับและสำหรับชื่อของสนามแห่งนี้ได้มาจากชื่อของพันธุ์ไม้ท้องถิ่นนั่นเอง

5.เอ็ดดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดียม (Education City Stadium)

สนามฟุตบอลแห่งนี้ตั้งอยู่กลางทะเลทราย และด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นออกมาแบบให้มีการหักเหของแสงทำให้สนามแห่งนี้จะเล่นแสงระยิบระยับตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน จนถูกขนานนามว่า “ไขมุกทะเลทราย หรือบางแหล่งเรียกว่า เพรชแห่งทะเลทราย”

สนามแห่งนี้เคยใช้เป็นสังเวียนฟาดแข้งในเกมนัดชิงชนะเลิศ FIFA Club World Cup 2021 มาแล้ว คู่ระหว่าง บาเยิร์น และ ติเกรส

เอ็ดดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดียม (Education City Stadium)
6. อาห์มัด บิน อาลี (Ahmed bin Ali Stadium)

สนาม อาห์มัด บิน อาลี เป็นสนามที่ได้รับการปรับปรุงจากสนามเก่า การออกแบบลวดลายภายนอกของสนามแสดงถึงเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของประเทศกาตาร์อย่างชัดเจน สนามแห่งนี้รองรับความจุได้ 40,000 ที่นั่ง

อาห์มัด บิน อาลี (Ahmed bin Ali Stadium)
7.คาลิฟา อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดียม (Khalifa International Stadium)

สำหรับสนามแห่งนี้เป็นสนามกีฬาที่รีโนเวทมาเพื่องาน ฟุตบอลโลก 2022 โดยเฉพาะ โดยสนามแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในนามสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งมักจะใช้ในการจัดรายการขนาดใหญ่ภายในประเทศมากมายรวมถึงระดับนานาชาติไม่ว่าจะเป็น เอเชียน เกมส์, กัล์ฟ คัพ, เอเอฟซี เอเชียนคัพ รวมทั้งการแข่งขันกรีฑา ไอเอเอเอฟ เวิลด์ แอธเลติก แชมเปียนชิพ 2019 อีกด้วย

คาลิฟา อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดียม (Khalifa International Stadium)
8. อัล จานอบ (Al Janoub Stadium)

อัล จานอบ หรือชื่อเดิม สนามอัลวาก์ราห์ การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมากจากเรือใบของประเทศกาตาร์ นอกจากจะเป็นสนามที่รูปแบบดีไซน์มีความทันสมัยและสวยงามไม่แพ้ใครแล้วสนามแห่งนี้ยังมีระบบทำความเย็นภายในสนามและหลังคาที่สามารถ ปิด-เปิดได้

อัล จานอบ (Al Janoub Stadium)

ส่อง 5 ทีมเต็ง & ทีมม้ามืด ที่น่าจับตามอง

ทีมเต็ง

เรื่องของทีมเต็งแชมป์ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ โดยหนนี้ยังคงนำขบวนมาโดยหน้าเก่าหลายสื่อและบ่อนรับแทงพนันถูกกฏหมายยังคงมองไปในทิศทางเดียวกัน

อันดับที่ 5 อาร์เจนติน่า

ฟุตบอลโลกที่น่าจะเป็นหนสุดท้ายของ ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีม ปีนี้พวกเขามุ่งมั่นด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมหลังเพิ่งก้าวไปคว้าแชมป์ อเมริกาใต้ มาได้สำเร็จและถือเป็นแชมป์แรกในสีเสื้อทีมชาติของ ลิโอเนล เมสซี่ อีกด้วย งานนี้ทัพ ฟ้า-ขาว ปลดล็อคแบบรูปแบบและพร้อมสู้ศึกฟุตบอลโลกหนนี้ ยังคงยกให้เป็นเต็ง 5 ที่แม้ว่าผู้เล่นตัวหลักน่าพร้อมรบแต่ตัวเปลี่ยนเกมที่ม้านั่งสำรองยังคงน่าเป็นห่วง

อันดับที่ 4 สเปน

ขุนพลกระทิงดุ ปีนี้ผลงานของพวกเขาไม่ได้แย่เพียงแต่ว่าความโดดเด่นและความดุดันเริ่มจะหายไป แต่ในเรื่องของความสม่ำเสมอถือว่าพวกเขารักษาเอาไว้ได้ดี ขุมกำลังส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นสายเลือดใหม่ที่ผลงานกับสโมสรกำลังไปได้สวย และด้วยความสดใหม่ของผู้เล่นขอยกให้ทีมชาติสเปนของกุนซือ หลุย์ เอ็นริเก้ เป็นเต็ง 4 อีกทั้งตัวเลือกในแต่ละตำแหน่งก็ไม่มีเลือกใช้งานแบบเหลือเฟือ

อันดับที่ 3 ฝรั่งเศส

แชมป์เก่าเข้าป้ายมาเป็นเต็งอันดับ 3 ด้วยผลงานที่ต่อยอดความสำเร็จมาเรื่อย ๆ ส่งผลให้พวกเขาผลิตดาวเตะเป็นผู้เล่นชั้นนำในเวทีระดับโลกมากมายในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งตัวเก๋าอย่าง คาริม เบนเซม่า ก็มีฟอร์มที่ถือว่าเป็นจุดพีคในอาชีพก็ว่าได้ แบก เรอัล มาดริด ไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จและยังถูกยกเป็นเต็งหนึ่งสำหรับรางวัล บัลลงดอร์ ปีนี้อีกด้วย อีกทั้ง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ก็พร้อมรบเต็มระบบ ผู้เล่นสายเลือดใหม่ก็พร้อมฉายแสงอีกหลายคน แม้จะเป็นเรื่องยากสำหรับการป้องกันแชมป์แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาเชื่อว่าทำได้ไม่ยาก

อันดับที่ 2 อังกฤษ

ถือเป็นอีกหนึ่งทีมชาติที่อยู่ในช่วงพีคอีกครั้ง เนื่องจากทัพสิงโตคำรามพวกเขาผลิตผู้เล่นชั้นนำมากมาย และมีตัวเลือกที่ล้นมือมากจริง ๆ ผลงานล่าสุดของพวกเขาคือการไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูโร 2021 แต่พลาดท่าแพ้จุดโทษอย่างน่าเสียดาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและนักเตะหลาย ๆ คนอยู่ในช่วงวัยที่ไฟแรงเวอร์ ๆ ขนาดนี้ มองว่าทัพทรีไลอ้อน จะติดเครื่องท้าชนอีกครั้งและก้าวไปถึงแชมป์ได้ไม่ยาก

อันดับที่ 1 บราซิล

ทีมชาติบราซิลถูกยกให้เป็นเต็งแบบไม่ทิ้งห่างมากนัก แต่ด้วยชื่อชั้นของพวเขาก็ต้องบอกว่าทัพแซมบ้าดีพอเป็นแชมป์ได้ไม้ยากเหมือนกัน ด้วยระบบทีมที่แข็งแกร่งและด้วยขุมกำลังที่มาพร้อมไม่ว่าจะเป็นแนวรุกที่หลากหลาย นำมาโดย เนย์มาร์, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่, ริชาร์ลิซอน, กาเบรียล เชซุส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, ราฟินญ่า, แอนโธนี่, วินิซิอุส และอีกหลายคน ส่วนแนวรับนำมาโดย มาร์กวินญอส ของ เปแอสเช กองกลางแน่น ๆ และสลับกันลงได้สบาย ๆ อย่าง คาซิเมโร่ และ ฟาบินโญ่ เพลย์เมกเกอร์อย่าง ปาเกต้า และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ปิดท้ายด้วยนายทวารระดับโลกทั้งมือ 1 และ มือ 2 อย่าง อลิสซอน เบ็คเกอร์ และ เอแดร์ซอน มองมุมไหนพวกเขาก็แกร่งและจุดอ่อนน้อยที่สุดในบรรดาทีมเต็ง

ทีมม้ามืด

อันดับที่ 5 เดนมาร์ก

ทัพโคนมมีระบบทีมที่แข็งแกร่งและผลงานในยูโรหนล่าสุดพวกเขาไปได้ไกลถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย นอกจากกำลังใจจะกลับมาดีแล้วเชื่อว่าทีมนี้จะได้รับแรงเชียร์จากแฟนบอลส่งให้พวกเขาไปได้ถึงรอบลึกได้อย่างแน่นอน

อันดับที่ 4 เซเนกัล

เจ้าของแชมป์แอฟริกัน เนชั่นส์ หนล่าสุดนำทัพมาโดยดาวยิงตัวเก่งอย่าง ซาดิโอ มาเน่ ผลงานของพวกเขาถือว่ายอดเยี่ยมในระดับทวีป มองว่าทีมนี้จะเป็นอีกทีมที่ประมาทไม่ได้และมีดีพอเข้ารอบได้อย่างแน่นอน

อันดับที่ 3 กาตาร์

แม้ว่าจะผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในฐานะเจ้าภาพ แต่เชื่อว่า กาตาร์ คงไม่ยอมน้อยหน้าใครอย่างแน่นอน รอบนี้ดาวยิงตัวเก่งอย่าง ฮัสซัน อัล ไฮดอส ยังคงสวมปลอกแขนกัปตันทีมนำทัพลงสนามเช่นเคย

อันดับที่ 2 เวลส์

ทัพมังกรแดงผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายได้อย่างสวยงามหลังจากเอาชนะ ยูเครน 1-0 ในรอบเพลย์ออฟ คว้าตั๋วผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกได้สำเร็จในรอบ 64 ปี เป็นอีกทีมที่น่าจับตามองด้วยแรงส่งจากชัยชนะเหนือ ยูเครน เชื่อว่าพวกเขาน่าจะเป็นทีมที่กินได้ยากอย่างแน่นอน

อันดับที่ 1 แคนาดา

สำหรับ แคนาดา เป็นอีกทีมที่น่าสนใจไม่แพ้กัน พวกเขาการันตีการผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยการเป็นทีมแรกจากโซน คอนคาเคฟ  แคนาดา ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ จอห์น เฮิร์ดแมน มีผลงานอย่างยอดเยี่ยม โดยมีสถิติลงแข่ง 13 เกมชนะ 8, เสมอ 4 และแพ้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วการได้เข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายของ แคนาดา ถือเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังของประเทศ โดยก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้สัมผัสฟุตบอลโลกครั้งแรกมาแล้วในปี 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก หรือ 36 ปีที่แล้ว

เพลงฟุตบอลโลก 2022

Hayya Hayya (Better Together) – เฮย์ย่า เฮย์ย่า  สำหรับเพลงนี้ขับร้องโดย ไอชา ศิลปินชื่อดังของประเทศ กาตาร์ ร่วมกับสองศิลปินจากอเมริกา อย่าง ตรินิแดด คาร์โดน่า, ดาวิโด้ และ อิช่า โดยเพลงนี้เป็นการผสมผสาน เสียงร้องจากทวีปอเมริกา, แอฟริกา และตะวันออกกลางมารวมกันอย่างลงตัว จึงทำให้เพลงนี้เป็นสัญลักษณ์ถึงการที่ดนตรีและโลกของฟุตบอลที่สามารถผสมผสานและผนึกรวมโลกเป็นหนึ่งเดียวกันได้

ลูกฟุตบอลและความหมายประจำทัวร์นาเมนท์นี้

ลูกฟุตบอลและความหมาย

ลูกฟุตบอลประจำทัวร์นาเมนท์นี้มีชื่อว่า Al Rihla – อัล ริห์ลา ภายใต้การดูแลและผลิตโดย Adidas – อาดิดาส และถือเป็นนวัตกรรมล่าสุดจาก อาดิดาส อีกด้วย ถูกออกแบบและผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยี CTR-Core และ Speedshell  เปี่ยมล้นไปด้วยคุณสมบัติทั้งเรื่องของความเร็วในการเคลื่อนที่บนอากาศและความแม่นยำสูงสุดช่วยให้การยิงแบบโค้งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าคงสร้างความลำบากใจให้กับบรรดาผู้รักษาประตูอย่างแน่นอน

และสำหรับคำว่า Al Rihla – อัล ริห์ลา มาจากภาษาอาหรับ ซึ่งความหมายในภาษาอังกฤษคือ The Journey หรือแปลเป็นไทยคือ  “การเดินทาง”

ตัวเต็งดาวซัลโว

สำหรับตัวเต็งดาวซัลโวยังฟันธงไม่ได้จนกว่าทุกทีมชาติจะทำการประกาศรายชื่อชุดลุยศึกฟุตบอลโลก แต่ความคิดเห็นข้างต้นเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น เพราะตัวเต็งที่ว่ามาอาจจะไม่มีชื่อไปร่วมฟาดแข้งก็เป็นได้จากหลาย ๆ เหตุผลในอนาคตที่ไม่อาจะรู้ได้

รางวัลรองเท้าทองคำถือเป็นรางวัลที่น้อยคนจะก้าวไปถึงและหลายคนแจ้งเกิด สร้างชื่อ มาด้วยรางวัลนี้

อันดับที่ 5

เนย์มาร์ – บราซิล

กองหน้าว่าที่สถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลบราซิล เข้าใกล้สถิติของดาวยิงรุ่นปู่อย่าง เปเล่ เข้าไปทุกที โดยฟุตบอลโลกหนนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญและเปิดทางให้ เนย์มาร์ ถลุงยิงประตูแซง เปเล่ ได้ไม่อยากเย็น เนื่องจากล่าสุดตามหลัง เปเล่ อีกเพียงแค่ 3 ประตูเท่านั้น

เนย์มาร์ - บราซิล
อันดับที่ 4

คิลิยัน เอ็มบัปเป้ – ฝรั่งเศส

ดาวเตะอนาคตไกลอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ถูกยกเข้ามาเป็นเต็งอันดับ 4 ด้วยผลงานที่มีความสม่ำเสมอและมุ่งมั่นเวลาอยู่ในสนามเชื่อว่า เอ็มบัปเป้ จะสร้างปรากฎการณ์ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน

คิลิยัน เอ็มบัปเป้ - ฝรั่งเศส
อันดับที่ 3

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ – โปรตุเกส

อันดับ 3 เป็นของกองหน้าจากทีมชาติโปรตุเกส ที่น่าจะเป็นฟุตบอลโลกหนสุดท้ายของเจ้าในวัย 37 ปี และแม้ว่าอายุจะอยู่ในช่วงบั้นปลายอาชีพค้าแข้ง แต่ผลงานของ ซีอาร์เซเว่น ยังคงเป็นตัวท็อประดับโลก โดยผลงานฤดูกาลล่าสุดเป็นดาวซัลโวของ แมนฯ ยูไนเต็ด และแน่นอนว่านี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเขาในเวที เวิลด์ คัพ มองว่างานนี้ โรนัลโด้ ใส่เต็มทุกเกม

อันดับที่ 2

ลิโอเนล เมสซี่ – อาร์เจนติน่า

กองหน้าความหวังจากทัพฟ้า-ขาว เข้ามาเป็นตัวเต็งอันดับ 2 แม้ว่าผลงานในระดับสโมสรกับ เปแอสเช จะไม่ได้สวยหรูมากนักแต่ภาพรวมยังถือว่ายอดเยี่ยมและพึ่งพาได้อยู่ มองว่าฟุตบอลโลกที่น่าจะหนสุดท้ายของเจ้าตัว คงใส่เต็มใส่สุดอย่างแน่นอน

อันดับที่ 1

คาริม เบนเซม่า – ฝรั่งเศส

มาถึงตัวเต็งจากสถานการณ์ล่าสุด เป็น คาริม เบนเซม่า จากค่าย เรอัล มาดริด เชื่อว่าหลายท่านคงไม่ค้านสายตาเพราะเมื่อมองดูจากผลงานในซีซั่นล่าสุดเชื่อว่า เบนเซม่า จะต่อยอดความสุดยอดในศึกฟุตบอลโลกได้อย่างแน่นอน

นักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง

โจนาธาน เดวิด - แคนาดา

กองหน้าในวัย 22 ปี ทำผลงานได้อย่างยอดเยียมบนเวที ลีก เอิง ฝรั่งเศส จนถูกหลายทีมทั่วยุโรปแสดงความสนใจดึงตัวไปร่วมทีม อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญพาทีมชาติแคนาดาเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้สำเร็จในรอบ 36 ปี

โจนาธาน เดวิด - แคนาดา
จู๊ด เบลลิ่งแฮม - อังกฤษ

ด้วยวัยที่ยังไม่ถึง 20 ปี เต็ม แต่เจ้าหนู เบลลิ่งแฮม ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักให้ทีมชาติอังกฤษได้อย่างไม่ยากเย็นและยังสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในทุกครั้งที่ได้โอกาสลงสนาม เชื่อว่าฟุตบอลโลกหนี้จะเป็นทัวร์นาเมนท์ที่เจ้าตัวแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว

จู๊ด เบลลิ่งแฮม - อังกฤษ
กาบี้ - สเปน

อีกหนึ่งวันเดอร์คิดจากค่าย บาร์เซโลน่า ที่ผลงานของดาวเตะวัย 18 ปี โดดเด่นและถูกจับตามองจากหลายทีมทั่วยุโรปโดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ที่แสดงความสนใจมาโดยตลอด นอกจากนี้ในนามทีมชาติเจ้าตัวก็ได้รับโอกาสติดธงกระทิงดุชุดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจจนถูกยกย่องให้เป็นความหวังใหม่เลยทีเดียว

กาบี้ - สเปน
จามัล มูเซียล่า – เยอรมัน

ดาวเตะในวัย 19 ปี ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้กับทัพเสือใต้เรียบร้อยแล้ว และด้วยความสามารถที่แพรวพราวและเล่นได้หลายตำแหน่งในแนวรุก ทำให้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นตัวแทน โธมัส มุลเลอร์ ในอนาคต อีกทั้งในนามทีมชาติก็ติดทีมชาติชุดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว

จามัล มูเซียล่า – เยอรมัน

ดาวซัลโวสูงสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก

ดาวซัลโวสูงสุดใน ฟุตบอลโลก
  1. มิโรสลาฟ โคลเซ่ (เยอรมนี) – 16 ประตู
  2. โรนัลโด้ R9 (บราซิล) – 15 ประตู
  3. เกิร์ด มุลเลอร์ (เยอรมนีตะวันตก) – 14 ประตู
  4. จัสท์ ฟงแตน (ฝรั่งเศส) – 13 ประตู
  5. เปเล่ (บราซิล) – 12 ประตู
  6. ซานเดอร์ ค็อกซิส (ฮังการี) – 11 ประตู
  7. เจอร์เก้น คลินส์มันน์ (เยอรมนี) – 11 ประตู
  8. เฮลมุท ราห์น (เยอรมนีตะวันตก) – 10 ประตู
  9. แกรี่ ลินิเกอร์ (อังกฤษ) – 10 ประตู
  10. กาเบรียล บาติสตูต้า (อาร์เจนตินา) – 10 ประตู

ประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฟุตบอลโลก

– สเปน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส (1 สมัย)

– อาร์เจนติน่า, อุรุกวัย, ฝรั่งเศส (2 สมัย)

– อิตาลี, เยอรมนี (4 สมัย)

– บราซิล (5 สมัย)

ทำเนียบแชมป์

– ครั้งที่ 1 ปี ค.ศ. 1930 ประเทศอุรุกวัย

– ครั้งที่ 2 ปี ค.ศ.1934 ประเทศอิตาลี

– ครั้งที่ 3 ปี ค.ศ.1938 ประเทศอิตาลี

– ครั้งที่ 4 ปี ค.ศ.1950 ประเทศอุรุกวัย

– ครั้งที่ 5 ปี ค.ศ.1954 ประเทศเยอรมนีตะวันตก

– ครั้งที่ 6 ปี ค.ศ.1958 ประเทศบราซิล-

– ครั้งที่ 7 ปี ค.ศ.1962 ประเทศบราซิล

– ครั้งที่ 8 ปี ค.ศ.1966 ประเทศอังกฤษ

– ครั้งที่ 9 ปี ค.ศ.1970 ประเทศบราซิล

– ครั้งที่ 10 ปี ค.ศ.1974 ประเทศเยอรมนีตะวันตก

– ครั้งที่ 11 ปี ค.ศ.1978 ประเทศอาร์เจนตินา

– ครั้งที่ 12 ปี ค.ศ.1982 ประเทศอิตาลี

– ครั้งที่ 13 ปี ค.ศ.1986 ประเทศอาร์เจนตินา

– ครั้งที่ 14 ปี ค.ศ.1990 ประเทศเยอรมนีตะวันตก

– ครั้งที่ 15 ปี ค.ศ.1994 ประเทศบราซิล

– ครั้งที่ 16 ปี ค.ศ.1998 ประเทศฝรั่งเศส

– ครั้งที่ 17 ปี ค.ศ.2002 ประเทศบราซิล

– ครั้งที่ 18 ปี ค.ศ.2006 ประเทศอิตาลี

– ครั้งที่ 19 ปี ค.ศ.2010 ประเทศสเปน

– ครั้งที่ 20 ปี ค.ศ.2014 ประเทศเยอรมนี

– ครั้งที่ 21 ปี ค.ศ.2018 ประเทศฝรั่งเศส

เจ้าภาพครั้งถัดไป

สำหรับเจ้าภาพครั้งถัดไปได้มีการยืนยันเรียบร้อยแล้ว โดยจะมี 3 ชาติประกอบไปกเวย สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และ แคนาดา เป็นเจ้าภาพร่วม โดยมีทั้งหมด 16 สนามรองรับการแข่งขัน สหรัฐอเมริกา จะใช้  11 สนามเป็นสังเวียน เม็กซิโก 3  สนาม และ แคนาดา 2 สนาม

นอกจากนี้แล้วฟุตบอลครั้งนี้จะมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันในรอบสุดท้ายเพิ่มเป็น 48 ทีมจากเดิม 32 ทีม และรูปแบบการการแข่งจะต่างไปจากเดิมในรอบแบ่งกลุ่ม